9 อันดับเกมฟรีแนว FPS สุดมันส์สำหรับ PC
คำเตือน: บางวิดีโอเกมต่อไปนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ชมที่อายุน้อย โปรดใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบการจัดประเภท ESRB ของแต่ละเกมก่อนที่จะอนุญาตให้เด็กเล่น โดยเฉพาะเกมที่จัดอยู่ในประเภท M ซึ่งหมายถึงเกมสำหรับผู้ใหญ่ วิดีโอเกมเรท M อาจมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กและ/หรือเนื้อหาที่ไม่มีป้ายกำกับ ซึ่งอาจมีภาพและเสียงที่รุนแรงสำหรับผู้ชมอายุน้อย

ความตื่นเต้นและการแข่งขันของมนุษย์เป็นของคู่กัน ไม่มีอะไรทำให้ใจเต้นไปกว่าการเข้าสังเวียนเพื่อต่อสู้กับคนจริงๆ เพื่อดูว่าใครแน่กว่าใคร ผ่านการเชื่อมต่อผ่านสัญญาณและเครือข่ายโยงใยทั่วอินเทอร์เน็ต ทุกสิ่งล้วนอยู่ในพื้นที่เสมือนที่ใช้ร่วมกัน

เกมออนไลน์แบบ First-Person Shooter (FPS) หรือเกมยิงผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ทำให้อะดรีนาลีนพุ่งพล่านและดึงดูดผู้เล่นหลายล้านคนเข้ามาเล่นในแต่ละวัน เพื่อต่อสู้ชิงความเป็นหนึ่ง การสู้รบที่ไร้กฎกฏิกา การต่อสู้ระหว่างทีม การแข่งขันชิงธง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีที่สิ้นสุด

แต่เหรียญก็มีสองด้านเสมอ อย่างที่ Jean-Paul Sartre กล่าวไว้ใน No Exit ว่า "นรกคือคนอื่น" บางครั้งก็น่าหงุดหงิดที่ต้องเล่นกับพวกที่ชอบทำให้คนอื่นเสียเวลา

พวกที่เราเรียกว่าเป็น "Griefer" หรือพวกเกรียนที่ชอบซุ่มตามจุดโกงต่างๆ ในเกม คอยจัดการผู้เล่นที่เพิ่งเกิดใหม่เพื่อให้ได้คะแนนมาง่าย แย่งแต้มแย่งฆ่า ชอบ AFK เวลาเล่นกับทีม และแจมคนอื่นที่กำลังเก็บเลเวล [1]

การได้อย่างเสียอย่างที่ต้องพบกับเกรียนเมอร์ก่อกวนเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเกมออกแบบมาเพื่อเป็นแหล่งรวมคนแปลกหน้าให้มาเล่นด้วยกัน แต่เกมแนว FPS ก็สามารถมอบประสบการณ์อีกแบบได้เช่นกัน คุณจะได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่ยาวนานและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งบางครั้งก็ฟินกว่าตอนเล่นเกมออนไลน์สนุกๆ สักตาซะอีก ความสุดยอดที่กำลังพูดถึงนั้นก็คือ "FPS แบบออฟไลน์" นั่นเอ

ด้วยมุมมองเสมือนว่า "ตัวเองอยู่ในเกม" เวลาเล่น[เกมแนว FPS การบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจพร้อมใส่อารมณ์เข้าไป จึงสร้างการมีส่วนร่วมของผู้เล่นอย่างที่เกมออนไลน์แบบ PvP นั้นให้ไม่ได้ การสัมผัสกับโหมดเนื้อเรื่องของเกมแนว FPS ที่ออกแบบมาอย่างดี ดำเนินเรื่องได้ดี แสดงได้ดี และมีความสมดุล เปรียบเสมือนการใช้ชีวิตในนิยายแอ็กชันชั้นเยี่ยมเรื่องหนึ่งในฐานะตัวละครหลักเลยก็ว่าได้

และนี่คือความตื่นเต้นที่มาพร้อมกับความสนุกของ "เกม FPS ออฟไลน์" ด้วยรูปแบบเกมสำหรับผู้เล่นคนเดียวที่ให้คุณเล่นในแบบของตัวเองและใช้เวลาของตัวเองได้ เราได้รวบรวมรายชื่อ 9 เกมแนว FPS สำหรับพีซีที่ดีที่สุด ที่ทำให้คุณสนุกได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเล่นด้วย

1. Borderlands 2 จาก Gearbox Software

จากความสำเร็จของ Borderlands ภาคนี้จึงถือเป็นผลงานต่อเนื่องจากทาง Gearbox Software ที่จะเพิ่มเติมสิ่งที่ทำให้ภาคแรกประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น นับว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างงานเขียนที่ไร้สาระและไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันเข้ากับดีไซน์เกมให้ดูเป็นการ์ตูนที่มีสีสันสดใสมาพร้อมสไตล์โดดเด่น ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างการ์ตูนแอนิเมชัน กับโมเดลตัวละครและอาวุธที่มีความสมจริงให้รับชมกันอย่างเพลิดเพลินทีเดียว

Borderlands 2 เป็นเรื่องราวไซไฟสุดล้ำแห่งอนาคต ในสถานการณ์ที่บริษัททั้งหลายต่างก็เข้ามาบุกรุกขุดค้นสมบัติจากดาวเคราะห์เอเลี่ยนจนเหลือไว้เพียงเศษเดนให้คนเก็บขยะในอวกาศ ทหารรับจ้าง และอาชญากร ทำให้นึกถึงตอนที่ Obi Wan บอกว่า Mos Eisley เป็นแหล่งชุมนุมของโจรและเหล่าวายร้ายจากทั่วสารทิศ

เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นห้าปีหลังจากเหตุการณ์ใน Borderlands สำหรับภาคแรก เราได้พบกับกลุ่มผู้แสวงหาความรุ่งโรจน์สี่คนบนดาว Pandora ที่ล่าสมบัติตาม Vault จากซากปรักหักพังของเอเลี่ยนชั้นสูงที่อยู่กลาดเกลื่อนบนนั้นดาว ภารกิจของพวกเขาจบลงด้วยการจัดการกับสัตว์ประหลาดในตำนานที่เรียกว่า “The Destroyer” และการปิด Vault พร้อมกับไอเทมและคลังแสงที่น่าทึ่งทั้งหมด

แต่เมื่อมีการขุดค้น Vault ใหม่ขึ้น และนักธุรกิจวายร้ายนามว่า Handsome Jack ก็เตรียมแผนไว้แล้วสำหรับการนี้ ก็ขึ้นอยู่กับคุณในฐานะ Vault Hunter คนใหม่แล้วว่า จะหยุดเขาและกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์พร้อมสมบัติและไอเทมระดับตำนานมากมายได้อย่างไร

หนึ่งในเกมแนว FPS ออฟไลน์ที่ดีที่สุดอย่าง Borderlands 2 ได้นำเสนอเนื้อเรื่องราวที่ค่อยๆ คลี่คลาย จากนั้นก็ค่อยๆ ซับซ้อนและน่าสนใจยิ่งขึ้น ไปพร้อมๆ กับเควสต์เสริมที่บาดใจผู้เล่นตลอดทาง ซึ่งทำให้รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมของ Pandora ที่มีความแปลกและแหวกแนวอย่างแท้จริง

ความสนุกอยู่ที่การเลือก Skill Tree ของตัวละครเมื่อเลเวลอัพ และจากการสะสม อัปเกรด รวมถึงการปรับแต่งอาวุธและวิธีการโจมตีของตัวเองด้วยเทคโนโลยีที่คุณปล้นมาจาก VaultBorderlands 2 ไม่ได้ดุเดือดเลือดพล่านขนาดนั้น แต่เน้นโหมดเนื้อเรื่องที่จริงจัง แม้ว่ามีบทสนทนาและสถานการณ์ที่มีความตลกเสียดสีสอดแทรกอยู่บ้างก็ตาม

หากเล่นตามเนื้อเรื่องหลัก เนื้อหาในเกมนี้จะยาวถึง 15-25 ชั่วโมง แต่ถ้าทำเควสต์เสริมและเส้นทางเสริมทั้งหมดจนครบ อาจใช้เวลาล่า Vault ได้นานสูงสุด 40 ชั่วโมง

2. Titanfall 2 จาก Respawn Entertainment

Titanfall ภาคแรกเป็นเกมต่อสู้หุ่นยนต์ยักษ์ที่งดงามและมีกราฟิกอันน่าทึ่งอย่างแท้จริง แต่ก็เล่นได้แค่โหมด Multiplayer เท่านั้น แม้ว่า Titanfall 2 เองก็มีโหมด Multiplayer ออนไลน์เหมือนกัน แต่การเพิ่มโหมดเนื้อเรื่องสำหรับแคมเปญผู้เล่นเดี่ยวแบบออฟไลน์เข้าไปด้วยคือของเด็ดในเกมนี้

แม้ว่าทุกอย่างดูเหมือนเกม Sci-fi ทั่วๆ ไปในตอนแรก คุณเล่นเป็น Jack Cooper ซึ่งอยู่ในกบฎกลุ่มเล็กๆ ที่เรียกว่า Frontier Militia ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต่อต้านและต่อสู้กับ Interstellar Manufacturing Corporation (IMC) อย่างที่คุณพอจะเดาได้ว่าเป็นองค์กรโหดร้ายและเลือดเย็นที่พร้อมจะขยี้ทุกสิ่งที่ขัดผลประโยชน์ให้แหลก

เมื่ออาจารย์ของ Jack ตาย เขาก็ยกมรดกให้ นั่นก็คือไททัน BT-7274 หุ่นยนต์ยักษ์ mech-suit ที่มีความรู้สึกนึกคิด รูปแบบการเล่นจะแยกระหว่างการบังคับ BT และการเล่นเป็น Jack ที่อยู่นอกหุ่นยนต์ไททัน ให้นึกภาพว่าเกมนี้เป็นภาพยนตร์แนว “คู่หูตำรวจ” โดยมี Jack และ BT-7274 เป็นคู่หูกันนั่นเอง

การควบคุมที่ลื่นไหล ดีไซน์ที่งดงามและผ่านการคิดมาอย่างแท้จริง และรูปแบบเกมที่ทรงพลัง ล้วนเป็นหัวใจของประสบการณ์ที่คุณจะได้รับจากเกมนี้ เมื่อเกมดำเนินไปเรื่อยๆ จะเห็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันกันมากขึ้น และความผูกพันระหว่าง Jack และ BT ก็กลายเป็นสิ่งที่จะได้คุณสัมผัสอย่างแท้จริง

มีการสร้างความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม (และน่าพอใจ) เลยทีเดียว บุคลิกของไททันที่ถูกโปรแกรมไว้นั้นมีลักษณะตรงไปตรงมาและมีเหตุผล ส่วน Jack จะเป็นคนหัวร้อนแบบ Han Solo ณ จุดต่างๆ ในเกม คุณจะเป็นคนนำการสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ ส่วนความรู้สึกจากการทุ่มเทในมิตรภาพนี้ ทั้งคู่จะเป็นคนสานต่อเอง ลองนึกภาพ The Iron Giant โคจรมาพบกับ Lethal Weapon ดู

Titanfall 2 ต่างจากเกม FPS ที่มีโหมดแคมเปญหลายๆ เกม ตรงที่ไม่เน้นสไตล์เกมให้ไปในทาง Open World ทำเควสต์เสริม และแนวแซนด์บ็อกซ์ เพราะ Titanfall 2 มีรูปแบบการเล่นที่เหมือนแสดงในภาพยนตร์

เรื่องราวทั้งแคมเปญอย่างเดียวก็เล่นได้ 5-6 ชั่วโมง แต่มีการวางเนื้อเรื่องและเนื้อหาไว้อย่างดี ทั้งสนุกและคุ้มค่าที่ได้เล่น จนคุณไม่ต้องลังเลที่จะลุยซ้ำอีกสักครั้งสองครั้งเพื่อดูว่าแต่ละเส้นทางและแนวทางที่คุณเลือกนั้นแตกต่างกันอย่างไร

3. Doom จาก id Software

เกม FPS และภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ยอดฮิตแห่งปี 1993 กลับมาฟื้นคืนชีพพร้อมโฉมใหม่อีกครั้งในปี 2016 จริงๆ แล้วเราก็พูดได้ว่าเกม FPS ทุกเกมบนคอมพิวเตอร์มีต้นกำเนิดมาจาก Doom ในปี 1993 เพราะนับว่าเป็นครั้งแรกที่โลกรู้จักกับเกมคอมพิวเตอร์แนวแอ็กชัน

จักรวาลของ Doom เป็นจักรวาลที่เทคโนโลยีอวกาศไซไฟและอุปกรณ์เปิดประตูมิติได้ปลดปล่อยขุมนรกอย่างแท้จริง ปีศาจและอสุรกายจากมิติอันน่าสะพรึงกลัวที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรุนแรง ถูกส่งมายังโลกของเราและเราจำเป็นที่จะต้องหยุดพวกมัน

Id Software มีวิสัยทัศน์ที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดของ Doom ฉบับปี 1993 เป็นอย่างยิ่ง Id Software จินตนาการว่าเกมนี้เป็นหนังสยองขวัญแนวไซไฟ ที่เราต้องวิ่งหนีสัตว์ประหลาดที่ไร้ความปราณีอยู่ตลอด ทางเดียวที่คุณจะไม่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นก็คือการตอบโต้อย่างว่องไวและอาวุธทรงพลังที่ใช้ระเบิดอสูรเป็นชิ้นๆ เท่านั้น

ความดุเดือดเลือดพล่านไส้กระจุยแบบนี้จึงยกให้เป็นความงดงามของจักรวาล Doom โดยเฉพาะ เพราะยังไงปีศาจพวกนี้ก็สมควรตายอยู่แล้ว ที่ไหนมีพวกมัน นรกก็อยู่ไม่ไกล และภารกิจของคุณในฐานะยอดทหารอวกาศคือ การส่งพวกมันกลับนรก อย่างป่าเถื่อน

การตีความ Doom ในเวอร์ชันสมัยใหม่นี้ นำเสนอประสบการณ์ผู้เล่นเดี่ยวในรูปเกมแบบเก๋าๆ โดยมีการปรับกลยุทธ์ด้านเนื้อเรื่อง เพื่อให้เข้ากับรูปแบบเกมและสร้างความตื่นเต้นของการระเบิดพวกชั่วให้ราบคาบ ไปจนถึงการต่อสู้กับเพลิงนรก และผ่านด่านต่างๆ ให้ถึงบอสตัวสุดท้าย นับว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เลือดสาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เป็นรูปแบบที่ดีที่สุดเท่าที่ใครจะทำได้

เพื่อให้เข้าใจถึงความรู้สึกที่ Doom พยายามจะสื่อสาร ให้ลองคิดว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโปสเตอร์อัลบั้มเฮฟวีเมทัลจากยุค 80 กลายเป็นโลกที่คุณต้องออกตะลุยฆ่าทุกสิ่งที่ขวางหน้า” เกมนี้มีหัวกะโหลก เขาปีศาจ กองเลือด และกองไฟในแบบที่อาจจะไม่ค่อยดูเป็นการ์ตูนมากนัก แต่ค่อนข้างจริงจังจนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ครอบงำนั้น

Doom รู้ดีว่ามันเป็นเกมที่สุดยอดแค่ไหน ด้วยการเปลี่ยนความรุนแรงที่เหนือชั้นให้กลายเป็นความมีสไตล์และว่องไวจนเข้าใกล้ "ความสมจริง" โดยไม่ต้องพยายาม ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นเป้าหมายที่แท้จริง

อย่าเพิ่งเข้าใจผิด แม้ว่าจะมีแคมเปญและเนื้อเรื่องก็ตาม แต่ Doom ก็เป็นเกมแอ็กชันโหมดผู้เล่นเดี่ยวที่สร้างขึ้นมาเพื่อความตื่นเต้นในการฆ่าสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว คุณจะเดินหน้ายิงและหลบหลีกพวกมันจนเกิดความสงบในใจ

ด่านต่างๆ และ AI ออกแบบมาเพื่อสร้างความสนุกสนานสำหรับผู้ที่เล่นเกมคนเดียวในแบบเดิมๆ เพิ่มเติมคือกราฟิกใหม่ที่สะดุดตา และเพลงประกอบแบบที่สร้างบรรยากาศแห่งการไล่ล่า

4. Battlefield 1 จาก EA DICE

จนถึงตอนนี้ ซีรีส์ Battlefield นั้นดูจะเป็นการเล่นแบบ PvP ออนไลน์ มากกว่าแบบผู้เล่นเดี่ยวที่เน้นเรื่องราว สำหรับ Battlefield 1 บริษัทผู้พัฒนาอย่าง EA DICE ได้เปลี่ยนรูปแบบเกมด้วยการสอดแทรกเรื่องราวสั้นๆ แต่ต่อเนื่องให้ผู้เล่นได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศที่สมจริงของสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ได้พิมพ์ผิด สงครามโลกครั้งที่ 1 จริงๆ ไม่ใช่สงครามโลกครั้งที่ 2

ในช่วงใกล้จบสงคราม คนมองว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็น “สงครามที่จะยุติสงครามทั้งปวง” เนื่องจากมีการสูญเสียชีวิตมนุษย์เป็นจำนวนมหาศาล แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่านี่เป็นการสันนิษฐานที่ออกจะให้ความหวังมากเกินไป เพราะเวลาผ่านไปเพียง 21 ปีเท่านั้น ก่อนที่สงครามโลกครั้งต่อไปจะปะทุขึ้น รุนแรงกว่าครั้งแรกและปล่อยให้สงครามโลกครั้งที่ 1 กลายเป็นเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์ที่ค่อยๆ จางหายไปในยุคสมัยใหม่

Battlefield 1 ให้ผู้เล่นได้สัมผัสถึงอาวุธยุทโธปกรณ์และการทำสงครามในยุคแรกๆ ที่อาจจะล้าสมัยแต่ใช้งานได้จริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดในสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื้อเรื่องที่ว่านี้ไม่ได้ต่อเนื่องกันเป็นเรื่องยาวเรื่องเดียว แต่เป็นการเล่าเรื่องการรบในสถานที่ต่างๆ  โดยแต่เรื่องก็มีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง ทุกฉากทุกตอนก็ค่อนข้างจะมีเนื้อหาแตกต่างกันไป เน้นถ่ายทอดภาพรวมมากกว่าเล่ารายละเอียดทั้งหมด

สงครามโลกครั้งที่ 1 ถือเป็นการทำสงคราม “สมัยใหม่” ครั้งแรกขนานแท้ ที่มีปืนใหญ่ รวมถึงอาวุธและการทำสงครามทางอากาศ แต่เป็นการทำสงครามทางอากาศโดยใช้เครื่องบินใบพัดปีกสองชั้น และอาวุธเครื่องจักรกลที่ใช้อย่างปืนไรเฟิลแบบลูกเลื่อนและปืนกลรุ่นแรกๆ ภารกิจหนึ่งที่คุณจะต้องเล่นเป็นนกพิราบส่งสารเพื่อส่งข้อมูลสำคัญ

Battlefield 1 นำความจริงเหล่านั้นมาถ่ายทอดผ่านประสบการณ์มุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และเกมจำลองการต่อสู้สมัยใหม่ที่มาประกอบรวมเป็นโลก FPS

เรื่องราวแต่ละฉากใช้การบอกล่าที่สัมผัสถึงความเป็นมนุษย์ ซึ่งทำให้ผู้เล่นสามารถรับรู้ได้สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นยิ่งใหญ่และยาวนานแค่ไหนในทันที และยังได้เข้าใจว่าสงครามนี้ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวของคนมากมาย ไม่ต่างจากสงครามอื่น บางเรื่องก็เต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์และชัยชนะ แต่บางเรื่องก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโศกนาฏกรรม เป็นทั้งประสบการณ์ที่น่าสนใจและเป็นบทเรียนประวัติศาสตร์ในคราวเดียว

5. Deus Ex: Mankind Divided จาก Eidos Montréal

ใน Deus Ex: Mankind Divided คุณคือเจ้าหน้าที่ที่ถูกดัดแปลงด้วยกลวิธีไซเบอร์ ผจญกับชีวิตข้างถนนกลางกรุงปรากที่กำลังถูกยึดครองโดยผู้ก่อการร้าย แวดล้อมด้วยบรรยากาศดิสโทเปียทางเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตแนวไซเบอร์พังค์ที่เสื่อมโทรม คุณเล่นเป็น Adam Jensen พระเอกสายบู๊ระห่ำ ลอบเร้น และว่องไว คุณจะพา Jensen ผจญภัยในสไตล์ RPG ผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่ง โดยพูดคุยกับตัวละครที่ไม่ใช่ผู้เล่น (NPC) รวบรวมข้อมูลที่จะนำไปสู่การปลดล็อกภารกิจและดำเนินเรื่องไปพร้อมๆ กัน เก็บเลเวล ไปจนถึงอัพเลเวลความสามารถด้วยการปลูกถ่ายวะจักรกลเข้าสู่ร่างกาย หรือที่เรียกว่า “augment”

เกมนี้ประสบความสำเร็จในการทำให้คุณรู้สึกถึงการควบคุมและตัวตนของคุณเอง ในฐานะไซบอร์กแอ็กชันฮีโรผู้กล้าหาญ การใช้ “augment” เพื่อโจมตีและป้องกันตัวแบบพิเศษ (เช่น Titan Armor, Tesla Arm หรือเครื่องยิงใบมีดนาโนที่ติดตั้งที่ข้อมือ) จะให้ความรู้สึกเหมือนได้ใช้พลังวิเศษ

รูปแบบการเล่นที่คุณต้องใช้ค่า “พลังงาน” ในการปล่อยสกิลพิเศษต่างๆ ซึ่งออกแบบมาเป็นอย่างดีทำให้ระบบการต่อสู้ใน Deus Ex สมดุล แต่ถ้าผู้เล่นใช้สกิลถูกจังหวะก็จะรู้สึกว่าระบบนี้มีความสมเหตุสมผล ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจเมื่อได้สัมผัสจริง

เมื่อเนื้อเรื่องเริ่มสลับซับซ้อนมากขึ้น และตัวเลือกในการโต้ตอบกับตัวละครของคุณจะนำไปสู่เส้นทางและภารกิจที่แตกต่างกัน คุณจะค้นพบว่าตัวเองสามารถทำภารกิจในเกมได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเหมือนนินจาผ่านตรอกซอกซอยและกระโดดผาดโผนไปตามหลังคาทั่วกรุงปราก การแฮ็กโครงข่ายและระบบรักษาความปลอดภัย หรือการบุกโจมตีและปะทะระห่ำ

ซึ่งนับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจับตาแบบช็อตต่อช็อตเลยทีเดียว Eidos Montreal ได้ทำให้การลอบเร้น การต่อสู้ และตัวเลือกบทสนทนาในเกม RPG เกมนี้ผสมผสานกันอย่างลื่นไหล ข้อตำหนิเดียวจากผู้ที่เล่นภาคก่อนอาจเป็นเรื่องการคลี่คลายปมที่เหมือนกับภาคแรก แต่ที่เหลือก็ถือว่ามีการปรับปรุงในเกือบทุกแง่มุมของรูปแบบเกม ทั้งยังควบคุมและพัฒนาอินเทอร์เฟซอีกด้วย จึงขอตัดสินว่าภาคนี้ “ค่อนข้างคล้ายภาคเก่า แต่ดีกว่า”

6. Dishonored 2 จาก Arkane Studios

เกมแอ็กชันผจญภัย Dishonored 2 พัฒนาโดย Arkane ได้ทำภาคต่ออย่างถูกต้องด้วยการให้โอกาสผู้เล่นได้พิชิตเป้าหมายของตัวเองอีกครั้งปรัชญาและดีไซน์ของ Dishonored คือ "จงเล่นในแบบของตัวเอง" ทำให้ผู้เล่นเข้าถึงเรื่องราวและทำภารกิจด้วยรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันมากๆ

ไม่ว่าจะเป็นการลอบเร้นและหลีกเลี่ยง หรือลุยปะทะซึ่งๆ หน้า หรือจะผสมผสานทั้งสองวิธี ก็อยู่ที่คุณจะเลือกDishonored 2 จะทำให้วิธีการเล่นของคุณสุดยอดขึ้นไปอีก ต่อให้เป็น 2 คนเล่นกันคนละรอบ หรือจะคนเดียวเล่น 2 รอบ ยังไงก็ไม่มีทางที่คุณจะเล่นออกมาเหมือนกันเป๊ะ

ใน Dishonored 2 คุณเล่นเป็น Empress Emily Kaldwin หรือจะเป็นองครักษ์ของเธอ Corvo Attano คุณจะต้องเลือกระหว่างสองตัวละครนี้ตอนเริ่มเกม ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะส่งผลต่อเกมมากที่สุด

แม้ว่าจะมีการเล่าเรื่องเดียวกันตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ในความสามารถของตัวละครแต่ละตัวก็จะส่งผลต่อวิธีการเล่นของคุณอยู่ดี และมุมมองที่เปลี่ยนไปก็จะเปลี่ยนประสบการณ์ของคุณว่าใครกันแน่ที่ "เกี่ยวข้อง" กับเรื่องนี้จริงๆ

Dishonored 2 เกิดขึ้นในโลก steampunk บวกกับเทคโนโลยีและเวทมนตร์ลี้ลับจากการสมคบคิดของผู้มีอำนาจ เมือง Dunwall นี้ตั้งอยู้ในอาณาจักรสมมตินามว่า Empire of the Isles ที่ถูกยึดบัลลังก์โดยแม่มดที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้าผู้เป็นคุณป้ามหาภัยของ Emily เอง

แม้การวางเรื่องจะฟังดูทั่วๆ ไป แต่แอ็กชันและรูปแบบเกมนั้นราวกับหนังคนละม้วน เพราะมีเรื่องราวมากมายให้สำรวจและค้นหา ทั้งหมดล้วนอยู่ในภารกิจต่างๆ ในรูปแบบเกมแนวแซนด์บ็อกซ์ที่เป็นเมืองเปิด (open city) ซึ่งเป็นที่ที่เวทมนตร์และเทคโนโลยีมาบรรจบกัน ความยาวในการเล่นเป็น Emily หรือ Corvo อยู่ที่ 12 ถึง 16 ชั่วโมง และคาดว่าคุณจะอยากเล่นอีกครั้งโดยสลับตัวละครเพื่อสำรวจตัวเลือกและเส้นทางที่แตกต่าง

7. BioShock จาก 2K Boston และ 2K Australia

นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2007 คุณคงคิดว่าการเล่นผ่าน BioShock ณ วันนี้อาจจะดูล้าสมัยไปแล้ว แต่คุณจะดีใจที่คิดผิดทันทีที่คุณได้เห็นว่า BioShock เปิดตัวได้อย่างสะท้านวงการเกม

เกมนี้ใช้วิธีการเล่นและกลไก FPS เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่สามารถเข้าถึงได้จากสื่อประเภทอื่น มีทั้งส่วนที่เป็นนวนิยายเชิงตอบโต้ บางด่านจะมีการทดสอบเรื่องปรัชญาและศีลธรรม และบางด่านก็เป็นผู้ลงมือกระทำ ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในเกมๆ เดียว นี่ไม่ใช่ FPS แรกที่รวมการสวมบทบาทและการลอบเร้นเพื่อมอบประสบการณ์ "เรื่องราวแบบโต้ตอบ” แต่เป็นหนึ่งใน FPS แรกๆ ที่ปฏิวัติวงการเกม

พล็อตเรื่องเป็นมหากาพย์ไซไฟที่เกิดขึ้นในปี 1960 นักอุตสาหกรรมและนักวิทยาศาสตร์อย่าง Andrew Ryan ผู้รับอิทธิพลจากปรัชญาวัตถุนิยม (Objectivist) ของ Ayn Rand ได้สร้างเมืองบาดาลที่ชื่อว่า Rapture เพื่อปลีกวิเวกจากสังคมและสร้างเมืองขึ้นใหม่ในฐานะยูโทเปียแห่งความรุ่งโรจน์

แล้วก็เป็นอย่างที่คุณคิดไว้ไม่มีผิด สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปตามแผน การทดลองทางพันธุกรรม การแบ่งชนชั้น และความโอหังล้วนทำให้แอตแลนติสใหม่แห่งนี้กลายเป็นดิสโทเปียแทน การริเริ่มนำกลไกศีลธรรมมาประเมินการตัดสินใจของผู้เล่นนั้น ทำให้เกมมีเรื่องราวแตกต่างกันไประหว่างเกมตั้งแต่ต้นจนจบ

เกมส่วนใหญ่ในบทความนี้ถือเป็นผลผลิตจากสิ่งประดิษฐ์ของ BioShock ถ้ายังไม่เคยเล่นเกมนี้ คุณต้องลองเล่นจริงๆ แล้ว

8. Far Cry 3 จาก Ubisoft

ในปี 2012 ผู้พัฒนาอย่าง Ubisoft ได้เปิดตัว Far Cry 3 และทุ่มทุนให้กับซีรีส์นี้ในการปรับปรุงและขยายมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ซีรีส์ Far Cry ไม่ใช่การรวมเรื่องราวไว้ด้วยกันเสียทีเดียว แต่เป็นมุมมองต่อรูปแบบการเล่นและการออกแบบที่เหมือนกัน

ซีรีส์นี้ตั้งชื่อตามเกมเอนจินจากการเขียนโค้ดที่พัฒนาโดยใช้ CryEngine ซึ่งทุกเกมจะมีสภาพแวดล้อมแบบแบบ Open World ที่ผู้เล่นเดี่ยวจะต้องอยู่ตามลำพังในถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่และโหดร้ายไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง

บรรยากาศใน Far Cry 3 มีลักษณะเป็นเกาะที่มีโจรสลัดและพวกค้ามนุษย์ คนต้องเอาตัวรอดไปตามจังหวะของเกมที่ค่อยๆ เผยให้เห็นว่าอะไรอยู่เบื้องหลัง Far Cry 3 ยังคงเป็นเกมหนึ่งที่ดีที่สุดในซีรีส์นี้

9. Fallout 3 จาก Bethesda Game Studios

Fallout 3 เป็นภาคที่สามของซีรีส์ Fallout แต่เป็นเกมแรกที่พัฒนาโดยสตูดิโอเกมระดับตำนานอย่าง Bethesda หลังจากที่ซื้อซีรีส์นี้จาก Interplay ผู้พัฒนาเจ้าแรก นี่เป็นเกมแอ็กชัน RPG ในบรรยากาศหลังวันสิ้นโลก และถึงแม้ในทางเทคนิคแล้วจะเป็น “ภาคที่ 3” แต่ก็ยังถือว่าเป็นภาคแรกสำหรับซีรีส์และสไตล์แนวใหม่นี้ได้อยู่ดี

ภาคก่อนๆ เกมจะใช้ดีไซน์ภาพแบบไอโซเมตริก 2 มิติ ในมุมมองโอเวอร์เฮดหรือโหมดบุคคลที่สาม แต่สำหรับ Fallout 3 นี้ Bethesda จะพาคุณเข้าสู่โหมดเกม FPS และเล่นได้ดูสมจริงยิ่งขึ้น นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ Fallout ยุคใหม่อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างแท้จริง

อินเทอร์เฟซการสร้างตัวละครอย่าง Pip-Boy 3000 ที่มีดีไซน์แบบศิลปะยุค 50 ได้กลายเป็นไอคอนที่เป็นที่รู้จักกันทั่ววงการเกมไปแล้ว แม้ว่าคุณจะไม่เคยเล่น Fallout มาก่อน แต่ก็อาจจะเคยเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของ PIP-Boy และรอยยิ้มของการ์ตูนยุคเครื่องบินไอพ่นรุ่นแรกบนเสื้อยืดและสินค้าต่างๆ ในร้านขายเกมอย่าง GameStop

เหตุผลที่ทำให้แบรนด์ Fallout ปรากฎอยู่ทั่วทุกที่บนสินค้าและของแต่งโต๊ะเก๋ๆ ก็เพียงเพราะว่าเกมนี้มันสุดยอดเบอร์นั้นจริงๆ หากคุณไม่เคยเล่นมาก่อน ขอรับรองว่าคุณจะได้เพลิดเพลินไปกับการเล่นเกม พร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเอาชีวิตรอดจากวันสิ้นโลกว่ามันสนุกยังไง